top of page

Interstellar (2014): Sci-Fi Movies - Something Worth Watching


Interstellar ทะยานดาวกู้โลก

(Christopher Nolan, 2014) ดูออนไลน์ Full HD 720p [169.03 minutes] Click

ข้อมูลจาก: a-bellamy.com

ภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ประจำปี 2014 ที่ขึ้นแท่นเป็นหนังอวกาศที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค ผลงานการกำกับโดย Christopher Nolan ที่จะกล่าวถึงโลกในช่วงวาระสุดท้ายแห่งยุค เมื่อทีมนักสำรวจต้องรับภารกิจที่สำคัญสุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติกับการเดินทางสู่กาแล็คซี่อันไกลโพ้นเพื่อค้นหาความเป็นไปได้ในอนาคตของมนุษยชาติที่ไม่มีอะไรรับรองได้เลยว่าพวกเขาจะได้กลับมาพร้อมความสำเร็จหรือไม่

แนะนำตัวละคร

  • Cooper รับบทโดย Matthew McConaughey วิศวกรคุณพ่อลูกสองที่ผันตัวเองสู่การเป็นนักบินอวกาศ เพื่อทำภารกิจเดินทางข้ามจักรวาลอันไกลโพ้น ในการตามหาดวงดาวดวงใหม่ให้กับโลกใบนี้ ผ่านสิ่งที่เรียกว่ารูหนอน ซึ่งสิ่งที่เขาตั้งใจทำลงไปนั้นทั้งหมดก็เพื่อลูกๆ อันเป็นที่รักของเขา

  • Brand รับบทโดย Anne Hathaway นักบินอวกาศสาวผู้ร่วมเดินทางอันแสนยาวไกลในการค้นหาดาวดวงใหม่ของมนุษย์

  • Murph รับบทโดย Mackenzie Foy และ Jessica Chastain ลูกสาวของวิศวกร Cooper ผู้ที่ต้องยอมรับการตัดสินใจของพ่อ และยังเฝ้ารอการกลับมาจนกระทั่งเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่

จักรวาล ดวงดาว เวลา และความพูกพัน: พวกเขาและรูหนอนรูนั้นที่นักวิทยาศาสตร์ฝันถึงอยู่ร่ำไป

โลก

เมื่อโลกในอนาคตกำลังวอดวายด้วยพิษภัยธรรมชาติ ส่งผลให้แหล่งที่ดินทำมาหากินและอาหารกำลังหมดลง เป็นลูกโซ่ให้เกิดโรคระบาดของระบบหายใจ ไม่ช้าไม่นานมนุษย์ต้องตายลง และมนุษยชาติก็ถึงกาลอวสาน

ภาพยนตร์พยายามใช้พิษธรรมชาติเพื่อมารองรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า (การหาดาวดวงใหม่ให้โลก) เราอาจทึกทักได้ว่าโลกอนาคต มันสมองทางเทคโนโลยีในแทบทุกส่วนของมนุษย์คงมีเทียบเท่ากับมันสมองของ Cooper แล้ว เพราะเป็นโลกอนาคตที่วิทยาศาสตร์ต้องพัฒนารุดหน้าไป เพียงแต่พิษภัย ธรรมชาติทำให้วิทยาศาสตร์เหล่านี้ต้องหยุดลงเพราะไม่สำคัญต่อการดำรงอยู่อาศัยของประชาชน

การหยุดลงของการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์เป็นเพราะวิทยาศาสตร์ไม่สำคัญ? เหตุผลข้อนี้ทำให้สรุปจากหนังได้ว่าวิทยาศาสตร์สุดท้ายก็ไม่สำคัญเท่ากับปากท้อง เห็นได้จากการที่รัฐบาลปล่อยให้โลกล้าหลังเพื่อไม่ทิ้งงบประมาณป่นปี้ไปกับสิ่งสิ้นเปลืองที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์รุ่งเรืองเมื่อมนุษย์เป็นระบบระเบียบที่สุดในยุคเรืองปัญญา ยุคที่มนุษย์ใช้วิธีคิดแบบเหตุผลเข้ามาจับมากกว่าใช้หลักจารีตความเชื่อและต่อต้านเรื่องราวไสยศาสตร์ จนนำไปสู่หลักคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน หรือที่เรียกว่ามนุษย์นิยม

ต่อเนื่องไปสู่ยุคปฎิวัติอุตสาหกรรม การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เข้ามาจนเกิดการผลิตขนาดใหญ่ที่ส่งผลวิถีการดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปจากการผลิตเกษตรกรรมแบบเดิมกลายเป็นสังคมอุตสาหกรรม ทำให้ชนบทเริ่มกลายเป็นเมือง และเข้าสู่ระบบทุนนิยมอย่างที่เราดำรงอยู่ปัจจุบัน

จนกระทั่งหลักเหตุผลและวิทยาการของเราพุ่งขึ้นถึงขีดสุดเมื่อถึงยุคแห่งสงคราม สงครามโลกครั้งที่ 1 อาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามล้มเจ้า เพราะมันเกิดขึ้นจากการลอบปลงพระชนม์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี รวมทั้งนโยบายของประเทศต่างๆ ในแบบจักรวรรดินิยมที่เชื่อว่าการที่พวกเขาเข้าไปควบคุมหรือมีอำนาจในประเทศต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาให้ประเทศเหล่านั้นเจริญก้าวหน้า ร่ายยาวไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นการต่อสู้กันของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ ที่เป็นผลจากวิธีคิดว่าตัวเองนั่นสูงส่งและดีงามกว่าคนอื่นอย่างเต็มประดา ด้วยความคิดและเครื่องมือที่พวกเขามีอยู่ หรืออาจกล่าวร้ายให้ตรงประเด็นได้ว่า หน่อเนื้อร้ายที่ทำให้เกิดสงครามโลกได้ก็เพราะหลักเหตุผลและวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ร่วมกันผลิตขึ้นมาในยุคก่อนหน้านี้นั่นเอง

ไม่หมดเพียงเท่านี้ โลกหลังสงคราม ผู้ชนะสงครามก็แตกหน่อเป็นสองข้างปฎิปักษ์ สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกา เกิดเป็นสงครามเย็นที่สร้างโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเร่งผลทางจิตวิทยาให้อีกฝ่ายขี้หดตดหายกันไป จนทำให้ทั้งสองต้องทุ่มงบไปกับการทหารและผลิตระเบิดนิวเคลียร์เตรียมพร้อมสู้รบกันตลอดเวลา หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกดปุ่มสตาร์ทเมื่อไหร่ อีกฝ่ายก็พร้อมรบได้ทันที เพียงแต่ว่าไม่มีใครยอมแตะปุ่มสตาร์ทกันซะที เพราะต่างฝ่ายก็หวังจะให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน จนเกิดเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่ครอบคลุมประเทศที่เกี่ยวข้องได้อย่างดี

ทั้งนี้การอวดอ้างความยิ่งใหญ่จึงอุบัติ ต่างฝ่ายต่างสร้างเทคโนโลยีล้ำยุค เช่น ยานอวกาศ เอาไว้ทับถมอีกฝ่ายว่าตัวเจ๋งกว่า และการส่งยาน Apollo 11 ไปเหยียบดวงจันทร์ของสหรัฐอเมริกาเป็นผลสำเร็จ ก็ทำให้สหภาพโซเวียตต้องหมดแรงไปกับการพัฒนาด้านยานอวกาศให้เหนือกว่ายิ่งขึ้นไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้สหภาพโซเวียตก็เหนือกว่าสหรัฐอเมริกาในการส่ง Sputnik 1 ดาวเทียมดวงแรกขึ้นไปก่อนแล้ว จะเห็นว่านี้เป็นศึกชิงไหวชิงพริบในยุคสงครามเย็น พยายามสร้างผลงานที่ทำให้ตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่ายยิ่งขึ้นไป ดังนั้นการสร้างยานอวกาศในตอนแรกนั้นจึงไกลห่างจากมนุษยชาติ แต่เป็นการใช้คำว่ามนุษยชาติเพื่อเหมารวมให้ประเทศอื่นมีส่วนร่วม หรือกล่าวได้ว่า คำว่ามนุษยชาติเป็นคำหลอกหล่อเพื่อให้ตัวเองเป็นจ้าวอาณานิคม ไม่ต่างจากยุคจักรวรรดินิยมเรืองอำนาจเช่นเดียวกัน

กลับมาที่ Interstellar หนังเรื่องนี้ทำให้โลกในอนาคตถอยหลังเข้าคลองกลับมาด้วยผลร้ายของการใช้เทคโนโลยีทางการทหาร ผลาญไปกับสิ่งที่ดูเปล่าประโยชน์กับปากท้องของผู้คน จนโลกเกิดวิกฤติทางอาหารและพิษภัยธรรมชาติจากพายุฝุ่น จนต้องทิ้งงบทางทหารออกไป

สำหรับผู้เขียนแล้ว สายตาที่หนังเรื่องนี้วางอยู่จึงไม่ต่างจากสายตาของ 'รัฐบาลกระทรวงกลาโหม' แม้ว่าหนังจะมาจิกกัดตัวเองว่ายาน Apollo 11 เป็นการหลอกให้สหภาพโซเวียตถังแตก แต่นั่นก็เพราะว่ามีคนเคยตั้งคำถามไปนานนมแล้วว่านี้อาจเป็นภารกิจสมคบคิด จึงไม่ใช่เรื่องเกินคาดแต่อย่างใด ถ้าหนังจะหลอกด่าตัวเองแบบนั้น เพราะตัวเขาเองย่อมรู้ว่าสงครามเย็นก็ถูกวิพากษ์จากประชาชนทุกฝ่ายมานักต่อนัก แต่การถอยหลังเข้าคลองของหนังสายตา 'รัฐบาลกระทรวงกลาโหม' ที่คุมบังเหียนโดย Christopher Nolan เรื่องนี้ ยอมที่จะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ เหมือนว่ายุคเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ (ถ้ามีจริง หนังเรื่องนี้ก็เป็นสารขอโทษที่ทำผิดพลาดไป) แต่มันเริ่มต้นที่ว่ามนุษย์มีเหตุผลและความคิดทางเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์เป็นเลิศต่างหาก

นี่เราคงไม่ต้องสาธยายว่าในเมื่อวิทยาศาสตร์ล้ำเลิศขนาดนั้น ทำไมถึงไม่หาวิธีป้องกันพายุฝุ่นและอาหารการกิน ขอตอบว่าเพราะนั้นไม่ใช่สายตา 'รัฐบาลกระทรวงกลาโหม' ที่ปรากฏในหนัง เพราะรัฐบาลนี้ต้องการทำให้เห็นว่าทุกฝ่ายที่อยู่ในเรื่องนี้ต้องการทำให้โลกเข้าไปสู่ในอีกระดับที่ไกลเกินกว่า มนุษย์เหยียบดวงจันทร์ แต่กระทั่งถึงขั้นว่า (ขอไปอธิบายด้านล่างต่อไป)

สิ่งสำคัญยิ่งยวดกว่านั้น ถ้าในตอนนั้นการพัฒนายานอวกาศเพื่อแข่งขันทางทหารที่ประชาชนยังไม่มีผลพลอยได้เป็นชิ้นเป็นอันจนเป็นเรื่องอำนาจของทางรัฐบาลที่ไกลห่างประชาชนไป หนังเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นว่าการรีเซทยุคสมัยกลับมา แต่ให้อยู่ในยุคอนาคตและสร้างสถานการณ์ที่โลกกำลังเลวร้ายนั้น พร้อมทั้งแสร้งทำว่าการมียานอวกาศขณะที่ประชาชนเดือดร้อนทางการดิ้นรนหาอาหารและระบบทางเดินหายใจเป็นสิ่งที่ไม่ควรอย่างมาก เพื่อทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำสิ่งที่เกินกว่าประชาชนต้องการ แต่การที่มีซ่องสุมกำลังสร้างยานอวกาศด้วยภารกิจ Lazarus นี้ก็เพื่อเห็นต่อมนุษยชาติต่อไป เป็นการชำระตัวเองให้ขาวสะอาด เพื่อทำให้เห็นว่าการสร้างยานอวกาศที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้แตกต่างจากในยุคสงครามเย็นมาก เพราะในครั้งนี้เป็นการสร้างขึ้นบนพื้นฐานของปากท้อง ความห่วงใยของประชาน และของมนุษยชาติ เป็นการดึงเรื่องอำนาจของทางการทหารในการสร้างยานอวกาศเป็นเรื่องชอบธรรมหาก โลกกำลังเผชิญวิกฤติแบบนั้นจริง เป็นการขยับช่องว่างอุดมการณ์ของชนชั้นปกครองและชนชั้นแรงงานให้มีอุดมการณ์เดียวกัน กล่าวคือชนชั้นปกครองก็สร้างยานหรือคิดค้นเรื่องอะไรที่มันไกลตัวผู้คนมากๆ อย่างชอบธรรมได้ เพราะประชาชนเห็นแล้วว่าชนชั้นปกครองนั้นรักประชาชนและมนุษยชาติของเราแค่ไหนกัน ดังนั้นงบประมาณที่เผาผลาญไปในเรื่องไกลตัวนั้นแท้จริงมันใกล้ตัวเรามาก เพราะเราอาจจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าสักวัน

เหตุผล

เนื่องจากวิทยาศาสตร์วางอยู่บนหลักเหตุผล เราจึงเห็นได้ว่า Cooper เชื่อในสิ่งที่สังเกตเห็นและพิสูจน์ได้จากประสบการณ์ของมนุษย์เท่านั้น นั่นจึงทำให้เขาติติงลูกสาว Murph ที่เชื่อว่าสิ่งแปลกประหลาดในห้องนอนของเธอว่า คือ 'ผี' นั้นเป็นหลักเหตุผลที่ใช้การไม่ได้ เขาจึงสอน Murph ให้ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ในการสังเกตการณ์ จดบันทึก ซึ่งนำไปสู่ข้อความบางอย่างที่มีผลที่เปลี่ยนแปลงมนุษยชาติไปตลอดกาล

Interstellar พยายามวางตัวเองอยู่บนหลักเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์อย่างบีบรัด เพราะไม่เช่นนั้นตัวมันเองก็ไม่สามารถเชื่อทฤษฎีฟิสิกต์ที่ตัวเองกำลังจะเชื่อได้อย่างหมดใจ แต่พยายามจะทำให้เห็นมากกว่านั้น คือพยายามดึงหลักการบางอย่างของสิ่งไร้เหตุผลของ Murph ที่เชื่อถือไม่ได้แบบ 'ผี' ให้กลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์

Murph เชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในห้องเธอนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม มันก็กำลังสื่อสารบางอย่างกับเธอ อาจกล่าวได้ว่า Murph มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติอยู่โดยประมาณ แต่ถูกฝึกปรือโดยพ่อว่าให้ลองทำสิ่งนั้นโดยให้วางหลักการอยู่ในหลักเหตุและผล นั่นเท่ากับรอยแบ่งระหว่างสิ่งเหลือเชื่อและสิ่งที่มีเหตุผล มันคือเส้นบางๆ ระหว่างกัน และสิ่งที่เคยไม่มีเหตุผลมาก่อนจนต่อมาถูกกระทำซ้ำๆ ด้วยการเฝ้าสังเกต จดบันทึก จนกลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์เข้าในสักวัน

Interstellar จึงเป็นหนังที่เชื่อว่าทุกสิ่งมีที่มาตามหลักวิทยาศาสตร์แทบทั้งนั้น รอแค่กาลเวลาให้เราพิสูจน์และเข้าถึง

ความรัก

หนังใช้ความรักเป็นตัวขับเคลื่อน Cooper ให้กระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อลูกสาว และยังใช้ความรักในฐานะเครื่องมือของอุดมการณ์ของตัวเองที่จะละเลยในการทำหน้าที่ เช่น Dr. Brand (Anne Hathaway) ละเลยการปฎิบัติคำสั่งอย่างเคร่งครัดและใช้แรงขับเคลื่อนภายในใจของตัวเอง ที่จะไปดาวที่มีแฟนของเธออยู่ เพราะเธอเชื่อว่าความรักเป็นประสบการณ์บางอย่างที่แม้จะไม่ขึ้นตรงบนหลักเหตุและผล แต่มันมีพลังต่อการเป็นมนุษย์ของเรามากๆ แม้จะย้อนแยงในวิธีคิดเมื่อเธอเกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะยึดมั่นในคำสั่งของปฎิบัติการมากจนเกินไปจนเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งและทำให้นักบินอวกาศอีกคนเสีย ชีวิต?

ทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องความรักถูกคลี่คลายและเฉลยไขในต่อท้ายได้ว่า ความรักนี่แหละหน่าเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่เหนือเหตุผล พื้นที่และกาลเวลา เหนือเกินกว่ามิติลี้ลับอีกหลายมิติ เพราะแสดงให้เห็นแล้วว่า ถ้า Cooper ไม่มีความรักต่อลูกสาว ตัวเขาก็จะไม่สามารถสื่อสารไปยังเธอได้ เช่นเดียวกับ Dr. Brand ถ้าทุกคนเชื่อในความรักของเธอตั้งแต่แรกก็จะพบว่าดาว Edmond นั่นมีองค์ประกอบที่จะทำให้มนุษย์ตั้งรกรากได้

นั่นทำให้เห็นว่า Interstellar พยายามผูกร้อยความรักซึ่งเป็นประสบการณ์บางอย่างในจิตใจที่เหนือกว่าเหตุและผล หรือหนังพยายามจะบอกว่าความรักก็ยิ่งใหญ่กว่าเหตุผล ทั้งที่ตัวเองก็ยังวางอยู่บนหลักเหตุผลอยู่ดี หรือในขณะที่พยายามทำให้หนังติดอยู่บนหลักการเหตุและผลอย่างเคร่งครัด เพื่อทำให้ทฤษฎีซึ่งเป็นทฤษฎีหนึ่งที่ถูกคิดค้นและยังไม่แน่ชัดว่าจะเกิดขึ้นจริง หรือว่าในอนาคตจะมีทฤษฎีที่ตีโต้ทฤษฎีนี้หรือไม่ ก็พยายามจะหาทางลงว่าที่จริงแล้วความรักสำคัญกว่าเหตุผลทั้งมวล

พวกเขา

หนังเน้นย้ำถึงพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนที่ Cooper มาถึงสำนักงานใต้ดินของ NASA เพราะเชื่อว่าการที่เขาถูกส่งมาเพราะมีเหตุและผลของมัน (เชื่อในวิทยาศาสตร์) แม้ว่าเขาจะยังไม่มั่นใจว่าอะไรคือสิ่งที่ส่งมาก็ตาม (ไม่ต่างจากเชื่อแบบสิ่งเหนือธรรมชาติ) หรือมีบางสิ่งบางอย่างในอวกาศที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเสมือนว่ามีคนสร้างรอพวกเราอยู่แล้ว

สรุปแล้วพวกเขานี่ใคร?

ขณะที่ Cooper เข้าไปในใจกลางของหลุมดำที่มี 'พวกเขา' โปรยทางเพื่อให้ Cooper สื่อสารกับ Murph ผ่านห้องนอนเธอได้ ซึ่งในหลุมดำที่เขาอยู่นั้น อดีตและปัจจุบัน สามารถมองเห็นได้ดั่งวัตถุทางกายภาพ ทำให้ Cooper เข้าใจว่าพวกเขาเลือก Murph ไม่ใช่ตัวเขาในการให้ช่วยเหลือมนุษยชาติ เพียงแต่ให้ Cooper มาเพราะรู้ว่าเขาเป็นนักบินและมีความรักกับ Murph แบบพ่อ-ลูกที่จะทำให้การสื่อสารเพื่อมนุษยชาติสำเร็จลุล่วงไปได้ จนสามารถสื่อสารกันผ่านสิ่งเหลือเชื่อในห้องนอนของ Murph ทำให้เห็นว่าสิ่งเหลือเชื่อที่ Murph เชื่อนั้น สุดท้ายมันก็คือหลักเหตุผลในเวลาต่อมา เพียงแต่ว่ามนุษย์สามัญธรรมดานั้นไม่สามารถเข้าใจได้ ต้องพัฒนาให้ก้าวล้ำในแบบมนุษย์ 5 มิติก่อนถึงจะเข้าใจ และ Cooper ได้รับสิทธิ์พิเศษจากพวกเขา ซึ่งสุดท้ายแล้วอาจกล่าวได้ว่าการที่คูเปอร์มาถึงจุดนี้ เพราะเขาเป็นผลของสาเหตุของอะไรบางอย่าง ไม่ต่างจากหลักวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว และอาจถึงขั้นสรุปได้ด้วยว่ามันเป็นการเชื่อแบบชะตาลิขิต หรือมีใครที่ลิขิตเราไว้ให้เรามาถึงในจุดนี้ (ก็ไม่รู้)

แต่หนังพยายามไปไกลกว่าแนวคิดชะตาลิขิตโดยทั่วไป เพราะชะตาลิขิตทั่วไปนั้นมักเชื่อว่ามีสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า หรือเทพเจ้าอะไรก็ตามที่จะช่วยดลบันดาลให้เราประสบความสำเร็จหรือสมหวังกับบางสิ่งบางอย่าง แต่ในขณะที่หนังเรื่องนี้พยายามใช้หลักวิทยาศาสตร์ล้มล้างในสิ่งเหลือเชื่อ ทุกหนเหตุที่นำไปสู่การไม่เชื่อในการมีอยู่ในพระเจ้าโดยหลักปฎิบัติ สังเกตได้ว่าหนังเลิกพูดถึงพระเจ้าเป็นคนสร้างจักรวาลหรืออวกาศไปหมดสิ้นแล้ว เพราะนักวิทยาศาสตร์มีเครื่องมืออุปกรณ์และความก้าวล้ำที่จะมาเสียเวลาพูดสิ่งที่ดูไร้สาระแบบนี้ แต่กลับยังเอ่ยอ้าง 'พวกเขา' อยู่ให้เกิดการตีความ โดยสามารถอนุมานจากคำของ Cooper ได้ว่า 'พวกเขา' ในที่นี้เราจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อพวกเราพัฒนาไปถึงระดับ 5 มิติแล้ว

ดังนั้นการที่มีสาเหตุอะไรบางอย่างที่นำพาให้ Cooper มา NASA อย่างบังเอิญหรือมีสาเหตุก็ตาม การที่ทำให้เขาเป็นสื่อกลางให้ Murph คิดสมการออก เหล่านี้อาจมีคนขีดชะตาชีวิตให้ Cooper เดินแล้วทั้งนั้น ดังนั้นแนวคิดมนุษยนิยมที่บอกว่ามนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ก็กลับมาในแนวคิดชะตาลิขิตที่มนุษย์ถูกบงการในสิ่งที่เรียกว่า 'พวกเขา' ใน 5 มิติอยู่ดี ซึ่งการที่เราจะไปถึงจุดนั้นได้ ก็คือการที่มนุษย์ต้องสังเกต จดบันทึก และทดลอง เพื่อให้เรามีประสบการณ์ในแบบมิติที่ 5 ซึ่งเราก็จะเข้าใจในมิติที่ 5 เช่นนั้นเท่ากับเราก็จะอยู่เหนือกว่ามิติที่ 3 แบบมนุษย์ทั่วไป เราก็สามารถสื่อสารและบงการ 'พวกเขา' (มิติที่ 3) ให้ 'พวกเขา' มีปัญญาในแบบพวกเรา (มิติที่ 5) ได้ จึงเป็นวัฎจักรไม่มีวันจบสิ้น มิติที่ 3 พัฒนาไปสู่มิติที่ 5 และมิติที่ 5 ก็สื่อสารไปยังมิติที่ 3 เพื่อให้พัฒนามายังมิติที่ 5 วนเวียนแบบนี้ไม่รู้จบ

มีความเป็นไปได้สูงว่าก็เราเองนี่แหละที่เป็นบุคคลในมิติที่ 5 ที่กำลังกลายเป็น 'พระเจ้าองค์ใหม่' ที่จะคอยชักจูงให้มนุษย์ในมิติที่ 3 ก็คือ 'พวกเขา' ในอดีตกลายมาเป็นแบบ 'พวกเขา' ต่อไปในอนาคต

ประเด็นนี้มันจึงน่าสับสนย้อนแยงจนผู้เขียนรู้สึกทะแม่งในหลักคิดนี้ชอบกล เพราะหนังยึดมั่นถือมั่นในความเป็นมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเราหลุดเข้าไปในอวกาศ เราก็รู้ว่าเราก็อาจถูกบงการอยู่ในมิติที่ 5 ผ่านการได้ปัญญาของ Cooper ที่สามารถสื่อสารกลับไปยัง Murph ในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งเป็นนัยว่าคนมิติที่ 5 ก็สื่อสารให้เขาไปอยู่ยัง ณ ใจกลางของหลุมแห่งนี้ได้ หรือตัวเขาเองก็เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติหรือพ่อเป็น 'ผี' ของลูก โดยเชื่อว่าสักวันสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้จะเป็นวิทยาศาสตร์เข้าสักวัน หากเราศึกษาทดลองและมีปัญญาจนเข้าถึงได้แล้ว

กฎของเมอร์ฟี่ (Murphy's Law)

จริงๆ กฎนี้ค่อนข้างเย้ยหยันต่อการเป็นมนุษย์ได้อย่างดี เพราะมันหมายถึงว่า “อะไรถ้ามันมีโอกาสจะเลวร้าย มันก็มักจะมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ” เหมือนเช่นเวลาเราบ่นว่า “ร้อยวันพันปีฝนไม่เคยตก แต่เมื่อเราออกจากบ้านเท่านั้นแหละ ฝนก็ตกเลย” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการคาดคะแนทางวิทยาศาสตร์แบบความน่าจะเป็นน้อยก็เกิดขึ้นได้เสมอ

Interstellar พยายามจะใช้กฎของเมอร์ฟี่เข้ามาเพื่อทำให้เห็นว่าบางเหตุการณ์มันจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ จู่ๆ พ่อก็เจอแรงโน้มถ่วงในห้องของ Murph จู่มันก็กลายเป็นพิกัดที่ทำให้เขาได้ขึ้นไปช่วยเหลือมนุษยชาติ จู่ๆ Cooper ก็คิดว่าสิ่งผิดปรกติในห้องจะบอกกับเธอ จู่ๆ เธอก็ไล่ให้พ่อไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อาจเป็นไปตามกฎเมอร์ฟี่ได้ทั้งหมด “มันจะเกิดก็ต้องเกิด ใครจะห้ามได้เล่า” แต่เมื่อถึงช่วงหลังของหนัง ไอ้กฎเหล่านี้ก็เริ่มแสดงสถานะว่าแท้จริงแล้วมันก็มีเหตุผลของมันนั้น การให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงอานุภาพที่ถูกการจัดวางแบบเหตุผล แม้เราจะไม่เข้าใจสาเหตุของผลที่เกิดขึ้นมาเลยก็ตาม

ส่งท้าย

สำหรับผู้เขียนแล้วนั้น Interstellar จัดวางอยู่ในสายตาแบบ 'รัฐบาลกระทรวงกลาโหม' ที่กำลังพยายามทำให้เห็นว่าเรื่องของการส่งมนุษย์ขึ้นไปสู่อวกาศนั้นเป็นเรื่องของมนุษยชาติที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ เพราะมันหมายถึงว่าจะทำให้ทุกคนมีชีวิตรอดไปจากโลกที่กำลังนับวันรอแตกสลายและขาดแคลนทรัพยากรทางชีวิตขั้นวิกฤติ

นอกจากนี้ หนังยังแสดงให้เห็นถึงสิ่งเหนือธรรมชาตินั้นเมื่อวันใดวันหนึ่งมันก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีเหตุผลพิสูจน์ เพราะไม่มีสิ่งใดที่อยู่เหนือเกินกว่าประสาทสัมผัสของเราที่ได้ทดลองพิสูจน์จนเป็นเหตุเป็นผล เพียงรอให้กาลเวลาพิสูจน์ในการมีสติปัญญาของพวกเราแล้วเท่านั้น

แม้หนังยังแสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดของมนุษย์ในการรับรู้ไม่ได้ของบางสิ่งที่ถูกจัดวางขึ้น แต่เมื่อ Cooper เข้าไปในใจกลางของหลุมดำ ก็ทำให้เห็นว่ายังมีใครบางคนที่ไร้ขีดจำกัดที่คอยสื่อสารกับเราเมื่อถึงวันที่โลกกำลังสิ้นสลาย ซึ่งยังเป็นแนวคิดที่เชื่อว่าโลกนี้มีพระเจ้าอยู่ เพียงแต่พระเจ้าแบบนี้มันสามารถมีเหตุและผลโยงกลับมายังมนุษย์ 3 มิติที่กำลังพัฒนาไป 5 มิติด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ก็คือพวกเรานี่แหละอาจกลายเป็นพระเจ้าของพวกเราเองในอนาคต และอย่างที่ผู้เขียนบอกไปว่าเมื่อหนังเรื่องนี้กำลังอยู่บนหลักของ 'รัฐบาลกระทรวงกลาโหม' ก็ยิ่งทำให้น่าสนใจว่าการพูดเรื่องของมนุษย์เป็นพระเจ้าในอนาคตนั้น เป็นเราเองที่เป็นพระเจ้าของเรา หรือเป็นใครบางคนที่กำลังรับหน้าที่อุ้มชูมนุษยชาติและอวดอ้างว่าเป็นพระเจ้าด้วยอำนาจของหลักวิทยาศาสตร์โดยที่เราไม่ทันได้ระวังตัว เฉกเช่นเดียวกับ Christopher Nolan ที่กำลังได้รับสถาปนาว่าไม่ต่างจากพระเจ้าในวงการภาพยนตร์จากมิตรรักแฟนหนังทั่วทั้งโลกเลย

 

bottom of page