top of page

บันทึกการอ่าน: เกรียนไทยมาจากไหน? และทำไมทรงผมถึงกลายเป็นครื่องแบบ?


บันทึกการอ่าน (Reading Log):

เกรียนไทยมาจากไหน? และทำไมทรงผมถึงกลายเป็นครื่องแบบ?

เขียนโดยศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (Siripoj Laomanacharoen)

ที่มา: https://thematter.co/thinkers/where-is-grean-thai-from/4504

บรรยากาศช่วงเปิดเทอม น้องๆ หนูๆ ก็จะต้องไถผมเกรียนกันไปตามระเบียบ แต่ระเบียบที่ว่านี่จะทำกันไปทำไม? และเกิดขึ้นเมื่อไหร่รู้กันไหมเอ่ย? ไม่ว่าคุณครูของน้องๆ จะให้เหตุผลยอดนิยมอย่างการไว้ผมยาวจะทำให้เจ้าเส้นผมตัวดีมาแย่งสารอาหารของสมองไป ทั้งๆ ที่ในทางวิทยาศาสตร์ เส้นผมคือเซลล์ที่ตายไปแล้ว และอะไรที่ตายไปแล้วก็คงไม่ลุกขึ้นมาแย่งอาหารจากใครไปได้แน่ๆ หรือว่าเหตุผลสุดคลาสสิกอย่างการเป็นกุศโลบายให้นักเรียนมีสมาธิที่แน่วแน่ ไม่ต้องคอยมาห่วงสวย ห่วงหล่อ แต่ถ้าโกนหัวโดยไม่ได้บวชก็จะตกเป็นจำเลยในข้อหาประชดประชันคุณครูฝ่ายปกครองอยู่ดี แล้วตกลงจะเอายังไงแน่ ตอบ! อย่าเพิ่งรีบเชื่อ แล้วรีบกลับสติก่อนเลยนะ เพราะว่าตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด!

ข้อคิดเห็นที่น่าฟังมากกว่ามาจากปากคำของนักประวัติศาสตร์ระดับไอคอนของประเทศอย่าง ศาสตราจารย์ ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งเคยเขียนถึงทรงผมนักเรียนแบบไท้ไทยอยู่อย่างน้อย 2 ครั้ง 2 ครา ในช่วงตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ หนแรกอาจารย์นิธิเขียนลงในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 โดยมีเนื้อความสรุปง่ายๆ ได้ใจความว่า การไถผมจนเกรียนเป็นลานบินอย่างนี้เริ่มเกิดขึ้นในยุคที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเราอยู่นี่เอง และก็เป็นเพราะคำสั่งของจอมพลผู้นี้แหละที่ทำให้ทรงผมของเด็กนักเรียนไทยเกรียนไกลไปทั่วโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้ โดยอาจารย์นิธิได้บอกกับเราว่าจอมพล ป. ไปลอกแบบทรงผมมาจากทหารญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบกผ่านทางเข้ามาในไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่ที่ต้องเลียนแบบทรงผมทหารญี่ปุ่นนี่มันก็มีเหตุอยู่นะ ไม่ใช่ว่าชอบก็เลยนึกจะเลียนแบบมันขึ้นมาเฉยๆ แต่เป็นเพราะว่าช่วงนั้นน้องเหาเค้ากำลังระบาดอยู่ต่างหาก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์นิธิไปได้ข้อมูลมาจากไหน แต่ก็มีเรื่องเล่าว่าเหาระบาดอยู่มากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามค่ายกักกันต่างๆ ในยุโรป แน่นอนว่าเป็นเพราะการจัดการทางสุขอนามัยที่ไม่ดีนัก หากเหาจะมาระบาดในค่ายกักกันนักโทษที่ทหารญี่ปุ่นนำมา ก่อนจะระบาดไปสู่ชุมชนบ้านใกล้เคียงก็ไม่น่าจะแปลกอะไรเท่าไหร่ และในสมัยจอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรกซึ่งคาบเกี่ยวกันกับช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละ ก็ได้มีพระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน 2482 ออกมา เนื้อหาภายใน พ.ร.บ. ฉบับนี้เน้นหนักในเรื่องเสื้อผ้า แถมยังไม่ค่อยพูดถึงเรื่องของหน้าผมสักเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ เครื่องแบบต่างๆ ในประเทศแห่งนี้มักไม่หมายถึงสิ่งที่บังคับให้ใครสวมใส่เข้าไปเท่านั้น แต่ยังมักจะหมายถึงการจับเอาร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นทรงหรือสีของเส้นผม เล็บมือ หรือหนังหน้า เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องแบบอยู่ด้วยเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีถ้อยความประเภทการให้เกียรติเครื่องแบบให้เราได้ยินกันบ่อยๆ หรอก

พ.ร.บ. ฉบับเดียวกันนี้ยังเป็นกฎหมายฉบับแรกที่กำหนดรูปแบบชุดนักเรียนไทยให้มีหน้าตาเป็นอย่างปัจจุบันนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านั้นประเทศไทยที่ยังใช้ชื่อเดิมว่าสยามอยู่นั้นจะไม่มีเครื่องแบบนักเรียนมาก่อน เพราะอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีหลักฐานการใส่เครื่องแบบนักเรียนด้วยเสื้อราชปะแตน (ชุดไทยที่ลอกแบบฝรั่ง แถมยังถือกำเนิดขึ้นที่อินเดีย) กับกางเกงไทย และมีหมวกฟางพันผ้าสีประจำโรงเรียนเป็นเครื่องประดับชิคๆ คูลๆ อีกด้วย เพิ่งจะเป็น พ.ร.บ. ฉบับปี 2482 นี่เองที่ไปเอาเครื่องแบบทหารญี่ปุ่น (พร้อมๆ กับผมทรงลานบินอย่างที่อาจารย์นิธิว่าไว้) มาเป็นเครื่องแบบนักเรียนไทย

อีกหนหนึ่งที่อาจารย์นิธิเขียนถึงทรงผมนักเรียน ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 18-24 มกราคม 2556 ซึ่งก็ยังยืนยันว่าทรงผมเกรียนเกิดขึ้นสมัยจอมพล ป. อยู่เหมือนเดิม แต่คราวนี้อาจารย์ไม่ได้อ้างถึงเรื่องเหา สิ่งที่อาจารย์นิธิเน้นย้ำมากในบทความชิ้นหลังนี้สรุปง่ายๆ ว่าผมทรงลานบินคือการกล่อมเกลาเด็กให้มีจิตใจแบบทหาร ดังนั้นวินัยจากการแต่งตัวจึงตามมาอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสีของกางเกง ความยาวของขอบกางเกง ถุงเท้า รองเท้า เข็มขัด หัวเข็มขัด ฯลฯ และก็ไม่ต้องสงสัยเลยนะว่าทรงผมสั้นเสมอติ่งของนักเรียนหญิงก็ถือกำเนิดขึ้นจากวินัยแบบทหารเช่นเดียวกัน

เอาเข้าจริงแล้ว นอกเหนือจากเราจะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรถึงระเบียบในการตัดผมเกรียนแล้ว เรายังมีภาพถ่ายเก่าๆ ของนักเรียนไทย อย่างรูปของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล (1903-1995) ขณะที่เป็นนักเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยแต่ไม่ได้ตัดผมเกรียนอีกด้วย (แน่นอนว่ายังต้องมีภาพของนักเรียนคนอื่นๆ อีกเช่นกันที่ไม่ได้เอ่ยถึง เพราะไม่เคยเห็นหรือเห็นแล้วแต่จำไม่ได้) เป็นได้ว่ายังไม่มีระเบียบที่ชัดเจนถึงการตัดผมสั้นเกรียน แต่เป็นไปในทางจารีตปฏิบัติ ลายลักษณ์อักษรฉบับแรกที่พูดถึงการตัดผมสั้นเกรียนของนักเรียนไทยเป็นผลมาจากประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 132 เมื่อปี 2515 ที่จอมพลถนอม กิตติขจร (1911-2004) ทำรัฐประหารตนเอง ที่มีข้อความว่า "นักเรียนและนักศึกษาควรจะได้รับการอบรมใกล้ชิดจากบิดามารดา ผู้ปกครองและครูอาจารย์ เพื่อเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา เป็นศิษย์ที่ดีของครู อยู่ในโอวาทคำสั่งสอนรวมทั้งอยู่ในระเบียบประเพณีและกฎหมายของบ้านเมือง เป็นการสมควรที่จะส่งเสริมและคุ้มครองความประพฤติ การแต่งกาย และจรรยามารยาทให้รัดกุมยิ่งขึ้น"

จากประกาศฉบับนี้แหละที่ทำให้เกิดกฎกระทรวงฉบับที่ 1 ในปีเดียวกันที่ลงรายละเอียดไปว่านักเรียนจะต้องตัดผมข้างเกรียน และมีผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวได้ 5 เซนติเมตร ผมเกรียนๆ ของนักเรียนไทย นอกเหนือจากจะตัดเพื่อหนีเหาและได้แบบอย่างมาจากทหารญี่ปุ่นแล้ว จึงยังเป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อฟังและไม่แข็งขืนต่ออำนาจ โดยเฉพาะอำนาจของเผด็จการที่ตกค้างมาถึงปัจจุบัน ไม่ต้องแปลกใจเลยนะว่าทำไมเกรียนไทยจึงชวนให้ปลงอนิจจังขนาดนี้

bottom of page