top of page

บันทึกการอ่าน: ความดีของพระเจ้าหรือความชั่วของซาตาน


บันทึกการอ่าน (Reading Log):

ความดีของพระเจ้าหรือความชั่วของซาตาน

เขียนโดยโตมร ศุขปรีชา (Tomorn Sookprecha)

ที่มา: https://thematter.co/thinkers/god-vs-devil/5050

บางคนอาจคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นคัมภีร์ที่เขียนขึ้นจากปากคำของใครคนใดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ปากคำของพระเจ้า แต่ที่จริงแล้ว ไบเบิลคือคัมภีร์ที่เขียนขึ้นตามอำเภอใจของใครก็ได้ที่อยากจะเขียน โดยสามารถเขียนขึ้นมาเป็น Gospel ต่างๆ ชาวคริสต์เราอาจคุ้นเคยกับพระวรสารของนักบุญลูกา (Luke) นักบุญมาระโก (Mark) แต่ที่จริง กวีอย่างวิลเลียม เบลค (William Blake: 1757-1827) วอลท์ วิทแมน (Walter 'Walt' Whitman: 1819-1892) หรือนักเขียนอย่างชาลส์ โบดเดอแลร์ (Charles Pierre Baudelaire: 1821-1867) ต่างก็เคยเขียนกอสเปล (Gospel) ของตัวเองขึ้นมาทั้งนั้น คำว่าไบเบิล (Bible) มาจากคำว่า Biblia อันเป็นศัพท์กรีก แปลว่า Small Books หรือหนังสือเล่มเล็กๆ หลายๆ เล่มที่ถูกนำจับมาเรียงต่อกันเข้า ฉะนั้นใครอยากจะเขียนหนังสือเล่มเล็กๆ สักเล่ม โดยว่าถึงพระเจ้าที่ตัวเองคิดว่าหรืออ้างว่าได้รับแรงดลใจมาจากพระเจ้าก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องผิด

และการที่อำนาจเหนือ (Authorization) บางอย่าง เช่น ผู้ที่สังคายนาพระคัมภีร์ นำหนังสือเล่มเล็กๆ เฉพาะบางเล่มที่อำนาจเหนือนั้นเห็นว่าถูกต้องชอบธรรมมาเรียงกัน แล้วบอกว่านี่คือไบเบิลที่ทุกคนต้องเคารพ คือปากคำของพระเจ้า ก็ย่อมหาใช่เรื่องผิดไม่ แต่เรื่องผิดน่าจะเกิดขึ้นเมื่ออำนาจเหนือบอกเราว่า เมื่อมีไบเบิลฉบับที่ถูกต้องเที่ยงตรงเป็นทางการ (Authoritative Bible) แล้ว กอสเปลอื่นๆ หรือไบเบิลอื่นๆ คือกอสเปลที่ผิด เพราะที่จริง กอสเปลทุกแบบทุกเล่มต่างก็ล้วนอ้างว่าเขียนขึ้นจากการดลใจของพระเจ้าทั้งนั้นแหละ คำถามก็คือใครคือผู้มีสิทธิอำนาจในการจัดสรรว่ากอสเปลไหนควรเอาไปเก็บเข้ากรุ เผาทิ้ง หรือทำเหมือนไม่เคยมีอยู่ในโลก และกอสเปลไหนสมควรมีที่ทางอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลที่ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์

ใครยึดกุมอำนาจเหนือนั้นเอาไว้ คำตอบไม่ใช่พระเจ้าหรอก! ระหว่างกอสเปลที่เป็นทางการกับกอสเปลที่ไม่เป็นทางการ มีการต่อสู้ระหว่างกันมาตลอดเวลาหลายพันปี ไม่ใช่ต่อสู้เพื่อยืนยันความถูกต้องว่ากอสเปลไหนถูกกอสเปลไหนผิด เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าเรื่องของพระเจ้านั้นเรื่องไหนถูกเรื่องไหนผิด และถ้าว่ากันตามตรรกะแบบคริสต์แล้ว มนุษย์ก็ต่ำต้อยเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าพระเจ้ากำลังทำอะไร เพื่ออะไร ฉะนั้นมนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่การต่อสู้ที่ว่านั้นเกิดขึ้นเพื่อการมีที่ทาง และสร้างทางเลือกให้กับคนอ่านหรือคริสตศาสนิกชนที่ควรมีโอกาสได้รับรู้และมีสิทธิที่จะตีความพระคัมภีร์ในแบบของตัวเอง ชาวคริสต์จะถูกสอนมาว่าพระเจ้ามีอยู่แต่เพียงองค์เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดตามที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เก่า เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งมวลภายในเจ็ดวัน แต่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่จริงมีกอสเปลอื่นๆ อีกมากที่เล่าถึงโลกก่อนหน้า บทตอนที่พระคัมภีร์ไบเบิลเขียนเอาไว้

สำหรับหลายคน ไบเบิลทางเลือกอย่างนอสติกกอสเปล (Gnostic Gospel) หรือกอสเปลของเจมส์ (Gospel of James) หรือเดดซีสครอล (Dead Sea Scroll) หรือสิ่งที่ถูกเรียกว่าอะโปคริฟา (Apocrypha แปลว่า Hidden Things) ซึ่งเป็นกอสเปลทางเลือก (ที่จริงศาสนจักรไม่ถือว่าอะโปคริฟาเป็นกอสเปล) นั้น เล่าเรื่องต่างๆ ไว้ยิบย่อยละเอียดละออมากกว่ากอสเปลอย่างเป็นทางการมาก มากเสียจนถูกกล่าวหาว่าเป็น Pseudoepigrapha หรือ False Writings หรืองานเขียนที่ผิดพลาดไปเลย ไม่ว่าจะเป็นกอสเปลลับของมาร์ค (The Secret Gospel of Mark) กอสเปลของฮีบรูว์ (Gospel of the Hebrews) กอสเปลของอีบิโอไนต์ (Gospel of the Ebionites) กอสเปลของนิโคเดมุส (Gospel of Nicodemus) หรือกอสเปลของบาร์โธโลมิว (Gospel of Bartholomew) เหล่านี้ล้วนเป็นกอสเปลที่ถูกความสัมพันธ์เชิงอำนาจเขี่ยตกเวทีไปทั้งสิ้น คริสต์ศาสนิกชนที่ดีจึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่า เอาเข้าจริงมีกอสเปลอื่นๆ อีกมากมายที่ยืนยันตรงกันว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีพระเจ้าอยู่แค่องค์เดียว! รากของศาสนาคริสต์ที่จริงไม่ใช่เอกเทวนิยม (Monotheism) แบบที่สอนๆ กันหรอก ทว่าที่จริงก็เป็นพหุเทวนิยม (Polytheism) เหมือนกับพราหมณ์-ฮินดู (Hinduism) หรือแม้แต่เหล่าเทพของกรีกและโรมันนั่นเอง

พระเจ้าองค์ปัจจุบันหรือพระยาเวห์ (Yahweh) หรือพระเยโฮวาห์ (Jahovah) ที่นับถือกันอยู่นี้ ที่จริงนอสติกกอสเปล (Gnostic Gospel) เห็นว่าเป็นแค่พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งถูกพระเจ้าอื่นๆ ตั้งฉายาให้ว่าเป็น The Jealous God หรือพระเจ้าขี้อิจฉา ค่าที่วันๆ ก็คอยแต่ไปนั่งอิจฉาพระเจ้าองค์อื่นๆ ที่เดิมทีมีชื่อเสียงมากกว่า จนในที่สุดก็เลยคิดสร้างโลกใบนี้ขึ้นเพื่อให้โลกมายกย่องตัวเอง แล้วก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเองลำพัง แต่สร้างด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้าองค์อื่นที่มีเพศเป็นหญิงเสียด้วย แต่พอเสร็จแล้วก็ยึดไว้เสียเอง พร้อมทั้งสอนผู้คนให้เชื่อด้วยว่ามีพระเจ้าอยู่แต่องค์เดียว (ต้องย้ำว่านี่เป็นคำสอนของนอสติกกอสเปลนะ ไม่ได้พูดเอง!) Oh, my god!

นักปรัชญาการเมืองสายมาร์กซิสม์ (Marxism) ที่ดูจะไม่ค่อยชอบประชาธิปไตยสักเท่าไหร่ อย่างคาร์ล ชมิดท์ (Karl Schmidt Rottluff: 1884-1976) เคยบอกไว้ว่า การเมืองคือการแบ่งแยกมิตรและศัตรูให้ขาด และเมื่อแยกมิตรศัตรูแล้ว เราก็จะสามารถนิยามตัวเองได้ว่าเราคือใคร โดยนิยามตัวเองจากศัตรูของเรา ถ้าคิดแบบนี้ เราจะเห็นว่าพระเจ้าก็ได้เริ่มเล่นการเมืองในสไตล์ของพระองค์มาตั้งแต่บอกกล่าวให้อับราฮัม (Abraham) ผู้เป็นบิดาของชนชาติยิวรู้แล้วว่าชาติพันธุ์ของเขาจะต้องอยู่ร่วมกับผู้คนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เป็นมิตร และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่เป็นศัตรู แต่ปัญหาของอับราฮัมก็คือ แล้วจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าใครคือมิตรและใครคือศัตรู ชมิดท์บอกว่าประเทศหนึ่งๆ จะมีความสุขสงบได้อย่างถาวรแท้จริงก็ต่อเมื่อคนในชาตินั้นๆ ได้มอบอำนาจให้รัฏฐาธิปัตย์ (เทียบได้เท่ากับพระเจ้าเปี๊ยบเลย!) สามารถวินิจฉัยได้ว่าใครคือศัตรูของสาธารณะ ใครเป็นศัตรูภายนอกและศัตรูภายใน

เมื่อพระเจ้าสามารถรวบรวมชาติอิสราเอล (Israel, Middle East) เข้าไว้ด้วยกันให้เป็นปึกแผ่นได้แล้ว พระองค์ก็ต้องเริ่มงานกำจัดศัตรูภายใน พร้อมกับสร้างศัตรูภายนอกขึ้นมาให้ได้ โดยแรกทีเดียว เหล่าศัตรูภายในได้แก่กลุ่มคนอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าสั่งให้ทำอะไรก็ไม่ยอมทำตาม วิธีกำจัดศัตรูภายในนั้นมีต่างๆ นานา ไม่ว่าจะด้วยการให้ชาวอิสราเอลตกไปเป็นทาสของชาวอียิปต์ (Egyptians) การแสดงฤทธิ์อำนาจต่างๆ รวมไปถึงการขู่สารพัด จนแทบเรียกได้ว่าหมดสิ้นศัตรูภายในไป

พระเจ้าเป็นนักการเมืองที่หลักแหลมอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ใช้กระบวนการแบบนัดเดียวได้นกสองตัว คือทำให้เหล่าชาวอิสราเอลกลัวด้วยคำขู่ ตามมาด้วยการลงมือกระทำจริงต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้พ่ายแพ้ต่อศัตรู ทั้งภัยธรรมชาติ ทั้งไม่ยอมนำพวกเขาไปสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา เป็นต้น เป็นการกำจัดศัตรูภายใน และในขณะเดียวกันก็มีกระบวนการสร้างความเป็นอื่นขึ้นพร้อมๆ กับทำให้คนที่มีวัตรปฏิบัติหรือนับถือสิ่งอื่นที่แตกต่างจากตัวเองกลายเป็นคนที่แปลกหน้า (Stranger) และแปลกประหลาด (Alien) พร้อมที่จะรบพุ่งฆ่าฟันและทำลายล้างคนเหล่านั้น รวมทั้งบุกเข้าไปยึดที่ดินทำกินที่คนเหล่านั้นได้อยู่อาศัยกันมาก่อนหน้าตั้งแต่ปู่ย่าตายาย

"เราจะสู้รบกับศัตรูของเจ้าและเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายที่ตรงกันข้ามกับเจ้า ทูตสวรรค์ของเราจะไปข้างหน้าและนำเจ้าเข้าไปสู่ดินแดนของพวกอาโมไรต์ พวกฮิตไทต์ พวกเปริสซี พวกคานาอัน พวกฮีไวต์ และพวกเยบุส เราจะทำลายล้างพวกนั้นเสียให้สิ้น จงอย่ากราบไหว้หรือนมัสการพระของพวกนั้น อย่าทำตามที่เขาทำเลย จงทำลายพระของคนเหล่านั้นให้หมดสิ้นและทำลายศิลาศักดิ์สิทธิ์ของเขา เจ้าจงนมัสการพระเจ้าของเจ้า แล้วเราจะอวยพรเจ้าให้เจ้ามีน้ำมีอาหารกินบริบูรณ์ เราจะเอาโรคภัยทั้งปวงไปจากเจ้า ในดินแดนของเจ้าจะไม่มีหญิงคนใดแท้งบุตรหรือเป็นหมัน เราจะให้เจ้าอายุยืน (I will be an enemy to your enemies and will oppose those who oppose you. My angel will go ahead of you and bring you into the land of the Amorites, Hittites, Perizzites, Canaanites, Hivites and Jebusites, and I will wipe them out. Do not bow down before their gods or worship them or follow their practices. You must demolish them and break their sacred stones to pieces. Worship the Lord your God, and his blessing will be on your food and water. I will take away sickness from among you, and none will miscarry or be barren in your land. I will give you a full life span.)" - ตอนหนึ่งจากบทอพยพ (Exodus 23: 22-33) พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาเดิม (Old Testament, 1977)

แต่ในความเป็นจริง ศัตรูภายในที่ถูกพระเจ้าทั้งขู่ทั้งปลอบนั้นไม่ได้กลับใจหันหน้าเข้ามานับถือพระเจ้าล้วนๆ หรอก เพราะศัตรูภายในเหล่านั้นก็ยังมีแนวโน้มอยากจะเคารพนับถือเทพองค์อื่นๆ ไปด้วยพร้อมกัน ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นไปตามนอสติกกอสเปลที่แสดงให้เห็นชัดๆ ว่าที่จริงศาสนาในทะเลทรายนั้นเริ่มต้นมาด้วยภาวะแบบพหุเทวนิยม แล้วใครล่ะจะทิ้งวัฒนธรรมและความเคยคุ้นแบบเดิมได้ง่ายๆ ด้วยเหตุนี้ วิธีการเดียวที่เหล่าประกาศกต้องงัดขึ้นมาใช้เป็นท่าไม้ตายก็คือ พวกเขาต้องทำให้ชาวอิสราเอลในรีตเห็นว่าเหล่าชาวอิสราเอลนอกรีตเหล่านี้ที่จริงแล้วก็เลวเท่าๆ กับศัตรูภายนอกนั่นแหละ และวิธีการที่จะรวมเอาศัตรูภายในใจเข้ากับศัตรูภายนอกกายได้ดีที่สุดก็คือการสร้างสัญลักษณ์ (Symbolize) หรืออุปโลกน์อะไรขึ้นมาสักอย่างให้เป็นตัวแทนของความเลวทั้งภายนอกและภายในได้ทั้งคู่ สิ่งนั้นคือซาตาน (Devil)!

ที่จริงแล้ว ถ้าดูจากพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่เป็นทางการ ซาตานที่ปรากอยู่ในไบเบิลตั้งแต่แรกหาใช่ผู้ต่อต้านพระเจ้าไม่ แต่คือผู้รับใช้พระเจ้านี่แหละ คำว่าซาตานปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของชาวฮีบรูว์ (Hebrew) มาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 600 ปี โดยเดิมทีเดียว ซาตานคือเทวดาหรือทูตสวรรค์ (Angel) ที่พระเจ้าใช้ให้มาขัดขวางกิจกรรมบางอย่างของมนุษย์เท่านั้น รากศัพท์ของซาตานคือ Stn ซึ่งที่จริงแปลว่าคนที่ทำหน้าที่ขัดขวางหรือก่อให้เกิดอุปสรรค คำเดียวกันนี้ถ้าเป็นศัพท์กรีกจะเรียกว่า Diabolos ซึ่งต่อมากลายเป็น Devil ทั้งที่ Diabolos แต่เดิมแปลว่าคนที่โยนบางสิ่งไปขวางเส้นทางเอาไว้เท่านั้น แรกทีเดียว ผู้ที่มาขัดขวางมนุษย์ถูกเรียกว่าทูตสวรรค์ แต่ครั้งแรกที่ทูตสวรรค์ที่ทำหน้าที่ขัดขวางถูกขนานนามว่ามาร คือในตอนของโยบ (Job, Biblical Figure) ซึ่งโยบเป็นผู้นับถือและรับใช้พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ แต่พระเจ้าเป็นผู้ใช้ให้มารไปทดสอบโยบเพื่อดูว่าเมื่อประสบความทุกข์ลำเค็ญ โยบจะยังจงรักภักดีกับพระเจ้าต่อไปหรือเปล่า เพราะฉะนั้นซาตานจึงไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามกับพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น!

เอาเข้าจริง เรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดของซาตานนั้นไม่มีความแน่นอนตายตัวเลย คนแต่ละกลุ่มต่างก็มีเรื่องเล่าของกำเนิดซาตานที่แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ซาตานเป็นข้ารับใช้ที่ถูกเขี่ยตกสวรรค์ ไปจนกระทั่งถึงซาตานเป็นพี่น้องกับพระเจ้า แต่แข่งขันกัน แก่งแย่งชิงดีกัน จนต้องกลายมาเป็นศัตรู แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในตอนหลัง ซาตานก็ได้ถูกศาสนจักรสร้างขึ้นจนมีรูปลักษณ์และภาพลักษณ์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในความรับรู้ของผู้คนว่าเป็นศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า และเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดการสร้างอัตลักษณ์ของคริสตศาสนจักรขึ้นโดยใช้ศรัทธาและความกลัวเป็นตัวนำโดยเฉพาะในยุคกลาง

ถ้าเราพิจารณาการสร้างศัตรูภายนอกโดยฝีมือพระเจ้ากับชนชาติต่างๆ ที่อาศัยอยู่รายล้อมชนชาติอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นอาโมไรต์ ฮิตไทต์ เปริสซี หรือฮีไวต์ เราจะพบว่าที่สุดแล้วพระเจ้าก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรมากนักในการเป็นนักการเมืองตามความหมายของคาร์ล ชมิดท์ เพราะกระบวนการสร้างศัตรูภายนอกของพระเจ้ายังมีจุดอ่อนจุดบกพร่องอยู่มาก ผลของความบกพร่องนี้แสดงออกมาให้เห็นจากการที่ชาวอิสราเอลจำนวนหนึ่งซึ่งคงมีเป็นจำนวนไม่น้อยยังคงเสาะแสวงหาพระเจ้าองค์อื่นๆ อยู่ และไม่เชื่อฟังพระยาเวห์ที่พยายามจะสถาปนาตัวเองให้เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวมากนัก แต่เป็นศาสนจักรในภายหลังต่างหากที่เก่งกว่าพระเจ้าในกระบวนการเกลื่อนกลืนเอาศัตรูภายนอกให้ผสมปนเปไปกับศัตรูภายในจนก่อเกิดออกมาเป็นซาตานซึ่งมีฤทธิ์อำนาจน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ซาตานสามารถบุกเข้าไปได้ถึงภายในจิตใจของผู้คนได้โดยที่ผู้คนไม่รู้ตัว ซาตานจึงเปรียบเสมือนชาวอาโมไรต์ล่องหนที่สามารถทลายกำแพงเมืองเจริโค (Jericho) ลงได้รวดเร็วยิ่งกว่าเสียงแตรของทูตสวรรค์

แต่ที่สำคัญที่สุด บางทีซาตานก็อาจไม่ได้มาจากที่ไหน เพราะถ้าซาตานมีกำเนิดเป็นพี่น้องหรือเป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า บางทีซาตานก็อาจอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกับพระเจ้า ซึ่งก็คือตัวของเราทุกคนนั่นเอง ในโลกทุกวันนี้ บางทีเราก็บอกไม่ได้อย่างเด็ดขาดหรอกว่าใครคือพระเจ้าและใครคือซาตาน เพราะในบางคราว ในบางสายตา และในบางการรับรู้ พระเจ้าก็ประพฤติตัวไม่ผิดอะไรกับซาตาน และหลายคราว ซาตานก็คือแขนขาของพระเจ้า ทั้งที่เป็นซาตานในมุมมองของไบเบิลเช่นกัน และหลายครั้ง อำนาจของทั้งพระเจ้าและซาตานจึงเป็นเหมือนหมอกควันที่ล่องลอยอยู่ระหว่างคำสองคำนี้ และบดบังสายตาจนทำให้คนธรรมดาๆ ทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้อีกว่าอะไรเป็นอะไร

bottom of page