top of page

บันทึกการอ่าน: Topless เปลือยอกยุคเก่า ตกลงเราใส่สไบจริงหรือ?


บันทึกการอ่าน (Reading Log):

Topless เปลือยอกยุคเก่า ตกลงเราใส่สไบจริงหรือ?

เขียนโดยศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (Siripoj Laomanacharoen)

ที่มา: https://thematter.co/thinkers/topless-siamese/5229

เมื่อครั้งที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือแปลก ขีตตะสังคะ (1897-1964) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก (16 ธันวาคม 1938 - 1 สิงหาคม 1944) นั้น รัฐบาลของท่านผู้นำแปลก ก้าวขึ้นมาพร้อมกับลัทธิชาตินิยม (Nationalism) เช่นเดียวกับรัฐบาลทหารทั่วโลก เรียกได้ว่าไม่ตกเทรนด์ยอดนิยมของช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II: 1939-1945) ในขณะนั้นเลยสักนิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าท่านผู้นำ ป. จะไม่ได้นำเสนอนวัตกรรมอะไรที่แตกต่างไปจากรัฐบาลทหารอื่นๆ ในโลก เพราะอย่างน้อยในสมัยของท่านได้มีการประกาศสิ่งที่เรียกว่ารัฐนิยม (Cultural Mandates or State Decrees) จำนวนถึง 12 ฉบับ ภายในช่วงระยะเวลาเพียง 4 ปี คือระหว่างปี 1939-1942 เลยทีเดียว

เจ้ารัฐนิยมที่ว่านี้ก็พูดง่ายๆ ก็คือประกาศของทางการเกี่ยวกับรูปแบบการปฏิบัติทางวัฒนธรรมของประชาชนที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นชาติ แต่เป็นชาติเฉยๆ เท่านั้นไม่ได้ ต้องเป็นชาติที่มีอารยะด้วย ซึ่งเป็นแนวทางที่กำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุงแก้ไขวัฒนธรรมบางอย่างของชาติ สำหรับให้ใช้เป็นหลักให้ประชาชนได้ยึดถือปฏิบัตินั่นเอง รัฐนิยมทั้ง 12 นี้จึงว่าด้วยเรื่องตั้งแต่ การเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามมาเป็นไทย การเคารพธงชาติและเพลงสรรเสริญพระบารมี การบังคับให้ภาคภูมิใจในหนังสือและภาษาไทย หรือแม้กระทั่งการบังคับเรื่องกิจวัตรประจำวัน (อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วอย่าเพิ่งงงนะ นี่กำลังพูดถึงรัฐนิยม 12 ฉบับของท่านผู้นำ ป. ในอดีต ไม่ใช่ค่านิยม 12 ประการของท่านผู้นำ ป. คนปัจจุบัน) แต่ฉบับที่อยากจะเขียนถึงในข้อเขียนชิ้นนี้ก็คือรัฐนิยมฉบับที่ 10 เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทยที่ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 15 มกราคม 1941

ถึงแม้ว่าประกาศรัฐนิยมฉบับที่อ่านแต่ชื่อแล้วเหมือนจะออกโดยคุณครูฝ่ายปกครองฉบับนี้จะไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่าการบังคับให้ประชาชนแต่งกายสุภาพ แต่ประกาศฉบับนี้ก็ออกมาพร้อมกับแผ่นภาพโฆษณาของทางการที่มีภาพตัวอย่างแสดงให้เห็นกันอย่างชัดเจนว่า ประชาชนชาวไทยควรจะแต่งตัวเช่นไร? ภาพทางด้านขวามือในแผ่นภาพโฆษณา รัฐท่านมีข้อความระบุเอาไว้ว่า "จงทำ ไทยอารยะต้องแต่งกายแบบนี้" หมายความว่านี่เป็นสิ่งที่รัฐคาดหวังว่าประชาชนจะทำ ส่วนภาพทางด้านซ้ายก็มีข้อความจั่วหัวเอาไว้เช่นกันว่า "อย่าทำ แต่งกายแบบนี้ไม่ใช่ไทยอารยะ" นั่นก็หมายความอยู่ชัดๆ ว่านี่เป็นสภาพที่เป็นจริง ประชาชนชาวไทยในรัฐของท่านผู้นำเมื่อครั้งกระโน้นแต่งกายกันอย่างนี้ให้เกลื่อน แต่รัฐท่านไม่แฮปปี้ด้วยนั่นแหละ ที่น่าสนใจก็คือภาพทางด้านซ้ายสุดของภาพ และภาพถัดมา วาดเป็นรูปผู้หญิงเปลือยท่อนบน แน่นอนด้วยว่าหน้าอกหน้าใจของสาวเจ้าทั้งสองนางนี้ก็พุ่งทะลุแผ่นภาพโฆษณาสมัยจอมพลแปลกท่านมากันแบบ Full HD เลยทีเดียว ซ้ำยังมีข้อความย้ำอยู่ทางด้านล่างด้วยว่า "อย่าเปลือยกายท่อนบน หรือใช้ผ้าแถบคาดอก สวมเสื้อชั้นในตัวเดียว"

แปลง่ายๆ ว่าในแผ่นดินสยามประเทศไทยนับจนถึงวันที่ประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 10 ซึ่งน่าจะออกคู่กันมากับแผ่นภาพโฆษณาไม่ห่างกันเท่าไหร่นักหรอก เมื่อวันที่ 15 มกราคม 1941 บรรพสตรีผู้หญิงไทยเค้าก็เปลือยอกกันเป็นปกตินั่นแหละ เพียงแต่รัฐท่านเห็นแล้วมันดูไม่ศิวิไลซ์เท่าใจท่าน ก็เลยต้องจัดระเบียบ ให้มันเจริญหูเจริญตาและไม่ชวนให้คันหูในสายตาของอำนาจขึ้นเสียหน่อย เพราะฉะนั้นก็อย่าเสียเวลาเถียงกันเลยเถอะ มันไม่ใช่มีแต่ในภาพจิตรกรรมฝาผนังที่หญิงไทยสมัยนั้นท่านจะโชว์นมกันให้อะร้าอร่ามตาโดยไม่ต้องพึ่งท่าเต้นของสายย่อ

ไอ้สไบมันก็มีอยู่หรอกนะ แต่สมัยนั้นพวกเธอก็ไม่ได้เอาใช้ปิดหน้าอกหน้าใจอย่างใครนึกมโนกันไปเองในยุคหลัง ภาพปูนปั้นสมัยทวารวดี (Dvaravati: 6th-11th Century) ที่จังหวัดราชบุรี ทำขึ้นตั้งแต่เมื่อปี 757 นิดๆ มีรูปนางในที่ก็สวมสไบอยู่เหมือนกัน แต่พวกนางก็คล้องไว้เฉยๆ พาดเอาไว้ที่ร่องอก แล้วโชว์เต้าปทุมถันทั้งสองข้างเหมือนอย่างพ่อกำนันถอดเสื้อ แล้วพาดผ้าขะม้าไว้บนบ่าอย่างนั้นแหละ เรียกได้ว่าผู้หญิงแถวนี้เค้ามั่นหน้าและเปลือยหน้าอกกันอย่างชิคๆ มาเป็นพันปีแล้วนั่นเลย รูปถ่ายเก่าของไทยยุคต้นกรุงเทพฯ ที่ฝรั่งเค้ามาถ่ายเก็บเอาไว้กันก็ยิ่งเห็นได้ชัด หลายรูปเลยทีเดียวที่พวกเธอ Topless จัดเต็มกันแบบไม่มีเม้ม ซึ่งก็แน่แหละ การเปลือยอกมันเป็นเรื่องปกติ ในสังคมและยุคสมัยของพวกเธอ แล้วจะมาเสียเวลาเขินอายเวลามีใครมาขอถ่ายรูปไปทำไมกัน?

อันที่จริงแล้ว การที่สาวๆ เปลือยอกอย่างนี้ก็พบอยู่ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคเก่าก่อน ไม่ว่าจะไทย ลาว พม่า เขมร เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เปลือยเหมือนกันหมด ไม่ใช่เอกลักษณ์เฉพาะของชาติไหน เห็นได้ง่ายๆ จากในภาพถ่ายเก่าที่เค้าก็มีไม่ต่างกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่พอท่านผู้นำแปลก ท่านลุกขึ้นมาให้คนไทยแต่งกายอย่างมีอารยะ แล้วจะต้องระบุว่าห้ามสาวๆ เปลือยหน้าอกเข้าไปในแผ่นโฆษณาด้วย ก็ในเมื่อการเปลือยมันดูไม่ศิวิไลซ์เอาเสียเลยในดินแดนที่อากาศหนาว เสียจนชวนให้ขนที่ไม่ใช่เฉพาะส่วนแขน Stand Up กันตลอดเวลาอย่างพวกฝรั่งเขานี่นะ แต่ฝรั่งไม่ใช่คนพวกแรกที่มาชี้นิ้วบอกเราว่าการที่พวก You เปลือยกายแล้วจะไม่อารยะ เพราะเป็นพราหมณ์จากอินเดียต่างหากที่มาบอกกับบรรพชนคนอาเซียนว่าการเปลือยนี่มันไม่ศิวิไลซ์เอาเสียเลย

เรื่องของเรื่องมีอยู่ในบันทึกของราชฑูตจีนยุคสามก๊ก แต่เป็นราชฑูตของซุนกวน (Sūn Quán 孙权: 182-252 AD) ไม่ใช่ก๊กของเล่าปี่ (Liú Bèi 刘备: 161-223 AD) หรือโจโฉ (ชื่อโจโฉตามสำเนียงฮกเกี้ยน (Hoklo) หรือเฉาเชาตามสำเนียงมาตรฐาน Cáo Cāo 曹操: 155-220 AD) ที่จดบันทึกนิทานการกำเนิดรัฐฝูหนาน (Funan) แน่ล่ะก็คนจีนเป็นคนบันทึก ชื่อรัฐก็เลยออกเสียงเป็นสำเนียงจีนไป แต่ชื่อจริงๆ จะออกเสียงยังไง? นักวิชาการเขายังเถียงกันไม่จบก็เลยต้องใช้ชื่อนี้กันไปก่อน ซึ่งก็คือต้นกระแสของอารยธรรมขอม (Ancient Khmer Civilization) เช่น นครวัด (Angkor Wat អង្គរវត្ត) และนครธม (Angkor Thom អង្គរធំ) เอาไว้ว่าพราหมณ์อินเดียคนหนึ่งชื่อฮวนเตียน (พราหมณ์อินเดียที่ไหนจะชื่อฮวนเตียน? นี่ก็เป็นชื่อแขกที่ออกเสียงตามสำเนียงท่านราชฑูตจีนอีกชื่อ) ฝันว่าเทวดาประจำตระกูลได้มอบศรและสั่งให้ขึ้นเรือออกเดินทาง ตื่นเช้ามาฮวนเตียนก็พบศรอยู่ที่โคนต้นไม้ใกล้เทวาลัย จึงขึ้นเรือออกเดินทางมาจนถึงฝูหนาน ซึ่งมีนางพญาชื่อหลิวเย่ (นี่ก็สำเนียงจีนเหมือนกัน) ต้องการปล้นสะดมเรือ ฮวนเตียนจึงแผลงศรไปทะลุเรือของนางหลิวเย่ นางจึงตกใจกลัวและอ่อนน้อมจนยอมเป็นภรรยาของฮวนเตียน (ได้กันง่ายๆ แบบนี้แหละ) ฮวนเตียนจึงได้ครองราชย์ที่ฝูหนานสืบมา

แต่เรื่องมันไม่ได้จบง่ายๆ แค่นี้ เพราะมีรายละเอียดตอนหนึ่งเล่าว่านางหลิวเย่ เธอเป็นคนเปลือย พูดง่ายๆ ว่าไม่ได้นุ่งผ้า ฮวนเตียนเมื่อจะได้นางเป็นภรรยาแล้วก็เลยเอาผ้ามาสวมให้เธอใส่ แต่มันจะเป็นไปได้จริงเหรอ? ในเมื่อชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ดึกดำบรรพ์ก็มีผ้าสวมใส่มาตั้งนานนมแล้ว ยิ่งเมื่อเป็นรัฐใหญ่อย่างฝูหนาน ถ้าหลิวเย่นางจะเปลือยก็เปลือยแค่หน้าอกเธอเท่านั้นแหละ และต่อให้เปลือยในนิทานมันจะหมายถึงแค่การเปลือยกายท่อนบนก็เถอะ เหตุการณ์นี้ก็เป็นฉากสัญลักษณ์ในเชิงเหยียดๆ ว่าชาวอินเดียเป็นผู้นำอารยธรรมมามอบให้ชนพื้นเมืองที่ป่าเถื่อนและยังไม่ศิวิไลซ์เสียมากกว่า แน่นอนว่านิทานเรื่องนี้ก็ต้องเล่าผ่านปากคนอินเดียมาก่อน และไม่ใช่ชาวพื้นเมืองแน่ เพราะพวกเขาคงไม่คิดที่จะเหยียดตัวเองหรอก เอาเข้าจริงแล้ว จากข้อมูลทางโบราณคดีที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ ชาวอุษาคเนย์ (ชื่อเพราะๆ ที่ถูกหลักไวยกรณ์ทางภาษาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) เราอารยะมาก่อนที่จะรู้จักกับอินเดีย เรื่องอย่างนี้จึงอยู่ที่ว่าจะเป็นเรื่องที่เล่าผ่านปากของใคร โดยจุดประสงค์อะไรต่างหาก

และก็น่าตลกดีที่คนไทยบางคนดูจะเหยียดๆ ผู้หญิงว่าแต่งตัวโป๊เองถึงได้ถูกข่มขืน ทั้งๆ ที่พวกเธอมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะแต่งกายใดๆ ที่ไม่ได้ผิดหลักกฎหมาย ไอ้คนที่ข่มขืนพวกเธอต่างหากที่ควรจะถูกประณามให้จงหนักที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ การอ้างให้แต่งกายอย่างไทยอันดีงามของหญิงสาวในยุคก่อนจึงเป็นอีกเรื่องที่ชวนให้ปลงอนิจจังเอามากๆ เพราะสุดท้ายพวกเขาก็ตกหล่มเดียวกันกับพวกฝรั่งหรือพราหมณ์ฮวนเตียนที่มาชี้นิ้วกะเกณฑ์ว่า อะไรคืออารยะและอะไรที่ไม่อารยะ ที่สำคัญก็คือบรรพชนหญิงไทยที่เธออ้างๆ กันนั่นน่ะ พวกนางทั้ง Topless ทั้งแต่งตัวได้เซ็กซี่กว่าพวกหล่อนในปัจจุบันเสียอีก

bottom of page