top of page

บันทึกการอ่าน: เห็บสยาม เสือตัวที่ 5 หรือช้างไทย โมเดลเศรษฐกิจแบบไทยๆ ในตลาดโลก


บันทึกการอ่าน (Reading Log):

เห็บสยาม เสือตัวที่ 5 หรือช้างไทย โมเดลเศรษฐกิจแบบไทยๆ ในตลาดโลก

เขียนโดยศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ (Siripoj Laomanacharoen)

ที่มา: https://thematter.co/thinkers/thailand-from-elephant-to-tick/7308

อยู่ๆ เมื่อปี 2016 ผู้มีอำนาจจากภาครัฐอย่างท่านปลัดกระทรวงการคลังก็ออกมานำเสนอโมเดลสุดปราดเปรื่องให้ความเป็นไทยวิวัฒนาการย้อนกลับไปเป็นเห็บอันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่น่าจะจัดอยู่ในไฟลั่ม (Phylum) เดียวกันกับคนทั้งประเทศนี้ได้ แล้วจะห้ามไม่ให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันเสียให้ขรมได้ยังไงไหว? ยิ่งเมื่อครั้งหนึ่งเมื่อราว 26-28 ปีที่แล้วในยุครัฐบาลของพลเอกชาติชาย ชุณหวัณ (1922-1998) คนไทยเราเคยวาดฝันเอาไว้ว่าประเทศไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย อยู่ๆ มาถูกดาวน์เกรดอย่างนี้ เป็นใครเขาก็เซ็งกันทั้งนั้นแหละ

4 เสือแห่งเอเชียที่ในครั้งหนึ่งเราอยากจะปรับเปลี่ยนสปีชี่ส์ (Species) ไปขอร่วมวงศ์ไพบูลย์กับเขานั้น ประกอบด้วยฮ่องกง (Hong Kong) สิงคโปร์ (Singapore) เกาหลีใต้ (South Korea) และไต้หวัน (Taiwan) ซึ่งในช่วงระหว่างปี 1960-1990 เป็นกลุ่มประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจรวดเร็วและต่อเนื่อง แถมยังมีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมอย่างรุนแรงในระดับ 9 ริกเตอร์ จึงไม่แปลกอะไรที่เราอยากจะเป็นอย่างเขาบ้าง เพียงแต่ครั้งนั้นเราอยากเป็นเสือเหมือนอย่างเขา แต่ครั้งนี้ท่านปลัดกระทรวงการคลังเสนอให้เราเป็นเห็บเกาะเขาไปแบบไปไหนไปนั่นก็เท่านั้นแหละ ดังนั้นเจ้าเสือตัวที่ 5 ที่ว่านี่ก็เป็นคำเปรียบเปรยทางเศรษฐกิจเหมือนกันกับเห็บสยามนั่นเอง และไม่ว่าจะเทียบพิกัดในมุมไหน เป็นเสือยังไงก็น่าครั่นคร้ามกว่ากันอยู่เห็นๆ แต่ถ้าไม่นับเฉพาะโมเดลทางเศรษฐกิจหรือการเงินแล้ว เสือก็ไม่ใช่สัตว์ตัวแรกที่คนไทยเรายกมาเปรียบเทียบกับความเป็นไทย เพราะก่อนหน้านั้นเราเปรียบเทียบตนเองกับอย่างอื่น และเจ้าสัตว์ตัวที่ว่านี้ก็คือช้าง

หลายคนคงจะทราบว่าธงสยามประเทศไทยก่อนที่จะเรียกว่าธงไตรรงค์เพราะมีสามสี (รงค์แปลว่าสี) นั้นเป็นธงรูปช้างในพื้นสีแดงมาก่อน ส่วนช้างนั้นจะเป็นสีอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะเป็นสีขาว เพราะหมายถึงช้างมงคลคือช้างเผือก แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบว่าก่อนที่จะกลายมาเป็นธงชาตินั้น ธงรูปช้างดังกล่าวทำหน้าที่อะไรมาแต่เดิมเอ่ย?

ถูกต้องแล้ว! สำหรับใครที่ตอบว่าเป็นธงที่ใช้ทำหน้าที่ทางการค้า (แน่นอนก็ข้อเขียนชิ้นนี้พูดถึงเห็บสยามกับเสือตัวที่ 5 ในฐานะคำเปรียบเปรยทางเศรษฐกิจ ถ้าธงช้างไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ แล้วจะพูดถึงเจ้าช้างเซลล์สีผิวพิการนี่ไปทำไมกัน?) ถึงจะไม่ใช่ขนาดว่าถูกใช้เป็นคำเปรียบเปรยกับโมเดลเศรษฐกิจของชาติเหมือนในยุคหลังก็เหอะ บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทยอย่างสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ (1862-1943) ทรงอธิบายไว้ว่า แต่ดั้งเดิมคนไทยไม่เคยมีธรรมเนียมการใช้ธงชาติ ไม่ว่าจะเป็นการชักหรือประดับธงตามสถานที่ราชการก็ตาม มีแต่การชักธงบนเรือซึ่งก็ไม่มีหลักฐานชี้ชัดลงไปอย่างแน่นอนได้ว่าเริ่มขึ้นสมัยไหนอีกอยู่ดี รู้แต่มีในสมัยอยุธยาแน่ และนั่นก็หมายความด้วยว่าธรรมเนียมการยืนตรงเคารพธงชาติทุก 8 โมงเช้า และ 6 โมงเย็น รวมไปถึงการทรมานทรกรรมนักเรียนอนุบาล ประถม ไปจนกระทั่งถึงมัธยมทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในช่วงรัฐบาลของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา หรือพจน์ พหลโยธิน (1887-1947) ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม หรือแปลก ขีตตะสังคะ (1897-1964) ในช่วงระหว่างช่วง 1935-1939 เท่านั้น แต่ธงที่ถูกชักขึ้นบนเรือตั้งแต่สมัยอยุธยานั้นยังไม่มีรูปช้างไปปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ในนั้น เพราะเป็นธงสีแดงล้วน โดยใช้เป็นเครื่องหมายประจำเรือค้าขายกับต่างประเทศ ธรรมเนียมแบบนี้ยังถูกใช้มาจนถึงสมัยกรุงธนบุรีและเมื่อแรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเป็นเรือหลวงหรือเรือราษฎร์ ขอให้เป็นเรือคนไทยเป็นใช้ได้

และธรรมเนียมดังกล่าวก็เปลี่ยนแปลงมันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 นั่นเลย ในพระราชบัญญัติธงรัตนโกสินทร์ศก 118 ซึ่งเป็นเอกสารยุครัชกาลที่ 5 ระบุเอาไว้ว่ารัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริว่าควรจะมีเครื่องหมายบางอย่างบนธงเพื่อให้รู้ว่าลำไหนเรือหลวง ลำไหนเรือราษฎร์ จึงทรงมีพระบรมราชโองการให้มีตรารูปจักรอันเป็นสัญลักษณ์ของราชวงศ์จักรีไว้บนพื้นแดงของธงเรือหลวงเท่านั้น ส่วนเรือราษฎร์ก็สีแดงนอร์มคอร์มันไปเหมือนเดิมนั่นแหละ

พอมาถึงในแผ่นดินของรัชกาลที่ 2 จึงทรงเพิ่มเติมรูปช้างเผือกไว้ในกลางวงจักรบนผืนธงแดงสำหรับเรือหลวง เนื่องจากในรัชสมัยของพระองค์ทรงมีช้างเผือกถึง 3 เชือก นัยว่าแสดงถึงบุญญาธิการของพระองค์ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา น้องช้างตัวขาวๆ อวบๆ จึงได้มีที่ทางเป็นของตนเองบนพื้นธงสีแดงของสยามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เอกสารอีกชิ้นคือ 'อธิบายเรื่องธงไทย' ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กลับอธิบายความเอาไว้แตกต่างออกไปว่า เรื่องตราสัญลักษณ์บนธงแดงทั้งรูปจักรและรูปช้างไม่ได้มีเหตุมาจากเพียงแต่เรื่องเรือหลวงเรือราษฎร์ แต่เกิดจากการที่เจ้าเมืองสิงคโปร์ ซึ่งเป็นชาวอังกฤษได้ฝากนายเรือมากราบทูลรัชกาลที่ 2 ว่าเรือเดินทะเลของพวกชวาและมลายูที่เข้าไปทำการค้าในสิงคโปร์ก็ใช้ธงแดงเหมือนกับของสยาม (ในเอกสารชิ้นนี้ระบุว่าสมัยรัชกาลที่ 1 ไม่ว่าจะเรือหลวงหรือเรือราษฎร์ก็ยังเป็นธงแดงเรียบๆ แสนจะนอร์มคอร์ไม่ต่างจากสมัยอยุธยา) จึงขอให้สยามเปลี่ยนรูปแบบธงเสีย

ส่วนสาเหตุที่เจ้าเมืองสิงคโปร์จำเพาะเจาะจงมาที่สยามนั้นเป็นเพราะว่ารัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเรือกำปั่นหลวงขึ้น 2 ลำสำหรับค้าของหลวง เช่น เครื่องศาสตราวุธต่างๆ แล้วสัญจรไปมาระหว่างสิงคโปร์ของอังกฤษและมาเก๊า (Macau) ของโปรตุเกส เรียกได้ว่าเป็นลูกค้าชั้นดีสำหรับเจ้าเมืองสิงคโปร์แน่ จึงอยากให้ทำสัญลักษณ์ไว้บนธงจะได้สังเกตเห็นได้ง่ายและเตรียมการรับรองได้สะดวกยิ่งขึ้น รัชกาลที่ 2 จึงโปรดเกล้าให้ทำรูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรสีขาวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ถึงพระเจ้าแผ่นดินอันมีช้างเผือก แถมไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีถึง 3 เชือกเลย ดังนั้นไม่ว่าเอกสารไหนจะกล่าวถูก เอกสารไหนจะให้ข้อมูลผิดก็ช่างเถอะ เพราะยังไงช้างเผือกก็เพิ่งจะมีโอกาสมาโลดแล่นอยู่บนพื้นธงสีแดงๆ เอาเมื่อสมัยรัชกาลที่ 2 เหมือนกันทั้งสองเอกสารอยู่นั่นเอง

ตามคติในศาสนาพุทธ ช้างเผือกเป็นหนึ่งในสมบัติพิเศษ คือแก้วทั้ง 7 ประการที่มีเฉพาะผู้ที่เป็นพระจักรพรรดิราชหรือราชาเหนือราชาทั้งปวงเท่านั้นถึงมีถือครองไว้ได้ ดังนั้นเมื่อรัชกาลที่ 2 ทรงถือครองอยู่ แถมยังทรงครองอยู่ตั้ง 3 เชือก ไม่ใช่แค่เชือกเดียวเสียอีก จะนำมาแสดงกันบนผืนธงก็ไม่เห็นจะแปลก และถึงแม้ว่าตามชุดความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะบอกว่า ช้างพวกนี้จะพิการด้วยเซลล์สีผิวบกพร่องก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร รัชกาลที่ 4 ทรงเป็นผู้ทำให้ทั้งเรือหลวงและเรือราษฎร์ของสยามต่างก็ใช้ธงช้างเหมือนกัน เพราะธงแดงนั้นยังเต็มไปด้วยปัญหาเดิมๆ คือไปซ้ำกับเรือของชาติอื่น แต่ทรงให้เอารูปจักรออกด้วยเหตุว่าเป็นของสูง แน่นอนว่าเมื่อเป็นของสูงก็ย่อมไม่เหมาะที่จะไปประดับอยู่กับเรือราษฎร์ ส่วนเรือหลวงนั้นไม่มีปัญหา และแม้ว่าในรัชสมัยของพระองค์จะเริ่มมีการประดับธงในพระบรมมหาราชวังและลามไปถึงวังอื่นๆ รวมถึงบ้านของเจ้านายแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการประดับธงช้างที่ไหนนอกจากบนเรือ

และก็เป็นธงช้างเปล่าๆ บนพื้นแดงแบบนี้แหละที่กลายมาเป็นธงชาติผืนแรกของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยาม ร.ศ. 110 ซึ่งตรงกับปี 1891 ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบธงชาติต่อมาเป็นระยะจนมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างธงไตรรงค์ในปัจจุบัน รูปช้างในธงไทยจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยในตลาดโลกมาก่อนที่จะถูกจับมาใช้เป็นธงชาติซึ่งก็คือสัญลักษณ์ของรัฐชาติสม้ยใหม่มันเสียอย่างนั้น

และถ้าจะลำดับเรื่องราวให้ร้อยเรียงกันไปตามเข็มของนาฬิกา แรกเริ่มเดิมทีชาวไทยในยุคกรุงเทพฯ เราใช้ช้างอันเป็นสัญลักษณ์บุญญาธิการของพระมหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของการติดต่อค้าขาย ก่อนที่ต่อมาช้างตัวนี้จะค่อยๆ อยากจะเปลี่ยนสปีชี่ย์ตัวเองให้กลายเป็นเสือก็เมื่อเศรษฐกิจบ้านเขาเจริญเอาพรวดๆ ก่อนที่จะมีพุทธิไอเดียเรื่องเห็บขึ้นมาให้ครวญครางกัน ด้วยถ้าใช้โมเดลนี้จริงก็คงไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แต่ไทยไทยในโลกล้วนอนิจจัง เห็บสยามโมเดลก็ด้วย

bottom of page