top of page

บันทึกการอ่าน: การเมืองแบบใหม่และการเมืองแบบเก่า


บันทึกการอ่าน (Reading Log):

การเมืองแบบใหม่และการเมืองแบบเก่า

เขียนโดย ดร.ปิยบุตร แสงกนกกุล

ที่มา: https://thefuturewewant.today/new-vs-old-politics/

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่สร้างสรรค์ มุ่งเสนอนโยบายเพื่อพัฒนาประเทศ ถกเถียงอภิปรายด้วยเหตุด้วยผล มองฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่แข่งทางการเมืองว่าฝ่ายใดจะเอาชนะใจประชาชนได้ มิใช่ศัตรูที่ต้องทำลายล้าง

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่จ้องทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม สาดโคลน มุ่งโค่นล้มฝ่ายตรงข้ามโดยไม่เสนออะไรใหม่ และไม่คำนึงถึงวิธีการ ใช้ทุกวิธีในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามออกไป

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองต้องการคะแนนเสียงผ่านการรณรงค์ การทำงานอย่างหนัก โน้มน้าวนำเสนอให้ประชาชนเลือกผ่านนโยบาย คุณค่าอุดมการณ์ของพรรค และคุณสมบัติของผู้สมัคร

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองต้องการที่นั่งในสภา โดยการดูดตัวนักการเมือง อดีต ส.ส. ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งเป็นเจ้าของแต่เพียงลำพัง แต่สมาชิกทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองมีเจ้าของ อำนาจการตัดสินใจผูกขาดอยู่ที่คนไม่กี่คน

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองได้เงินทุนมาใช้ในการรณรงค์ผ่านการระดมทุนและรับบริจาคทั่วประเทศหรือ Crowdfunding ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพรรคไม่ใช่เป็นเรื่องผู้ขอ-ผู้ให้ ประชาชนไม่ใช่ผู้ยื่นมือขอความช่วยเหลือหรือขอเงินจากพรรค แต่ประชาชนคือหุ้นส่วนความเป็นเจ้าของพรรค เมื่อประชาชนเห็นว่าพรรคการเมืองใดมีแนวนโยบายที่ดี นิยมชมชอบ และน่าจะทำประโยชน์ให้เขาได้ก็ต้องสนับสนุนพรรคนั้นผ่านการบริจาค เข้าไปมีส่วนร่วม เสนอความคิด และสนับสนุนพรรคนั้น มิใช่นั่งเฉยๆ รอเงินหรือความช่วยเหลือจากพรรค การเมืองจะมิใช่เรื่องสงเคราะห์แบบประชาชนผู้รับเงิน-พรรคผู้ให้เงิน หรือประชาชนผู้ให้คะแนน-พรรคผู้รับคะแนนอีกต่อไป แต่การเมืองจะเป็นเรื่องของการมีส่วนร่วมและการเข้ามาผูกพันกันเพื่อผลักดันให้พรรคก้าวต่อไปข้างหน้า

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองนำเงินทุนมาจากสมาชิกไม่กี่คน และสมาชิกเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในพรรค เสมือนพรรคการเมืองเป็นบริษัทที่ต้องฟังผู้ถือหุ้นนักลงทุนรายใหญ่ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ จะมีบทบาทใด พรรคการเมืองจะไปในทิศทางใด ก็ขึ้นกับบรรดาผู้ถือหุ้นใหญ่ในพรรคนั้น เกิดการสร้างมุ้งในพรรค โดยกระจายกันไปตามสัดส่วนเงินที่นำมาลงในพรรคหรือจ่ายให้สมาชิกพรรค ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับพรรคอยู่บนความสัมพันธ์ผู้ขอ-ผู้ให้ มิใช่ร่วมกันด้วยอุดมการณ์หรือมีส่วนในการกำหนดแนวทาง

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่ได้คะแนนจากการทำงานในพื้นที่อย่างหนักผ่านเครือข่ายและคนในพื้นที่ ผู้สมัครคือผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากเครือข่ายในพื้นที่ มิใช่ผู้มีอิทธิพลในพรรคจัดส่งมาให้จากส่วนกลางโดยที่เครือข่ายในพื้นที่ไม่รู้จักและไม่มีส่วนในการกำหนด

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่หวังคะแนนจากหัวคะแนน เงิน ประโยชน์ต่างตอบแทน และอำนาจอิทธิพล ผู้สมัครคือผู้ที่มีอิทธิพลในพรรคเคาะส่งมาให้โดยไม่ทำงานในพื้นที่กับเครือข่ายเลย

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองมีอุดมการณ์ คุณค่าพื้นฐานของพรรค มี Identity ของพรรค สามารถจัดประเภทได้ว่าเป็นพรรคซ้าย-ขวา ตามเฉดสเปคตรัมอุดมการณ์ทางการเมือง

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองไม่มีอุดมการณ์พื้นฐาน ตั้งขึ้นมาเพื่อหวังเสียบเป็นรัฐบาล สร้างอำนาจต่อรองในการเข้าร่วมรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์หรือนโยบาย มุ่งต่อรองจำนวนเก้าอี้รัฐมนตรี และแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน พรรคการเมืองเหล่านี้ไม่อาจจัดประเภททางอุดมการณ์ได้ เพราะอะไรก็ได้ขอให้ได้เป็นรัฐบาล

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมในระยะยาว มิใช่ตั้งมาเฉพาะกิจหรือชั่วคราว พอไม่ได้เป็นรัฐบาลหรือไม่มีที่นั่งในสภาก็เลิก พรรคการเมืองแบบใหม่ตั้งมาเพื่อทำกิจกรรมหลากหลาย มิใช่มีแต่การเลือกตั้งเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องวิชาการ การทำนโยบาย การทดลองนโยบาย งานวัฒนธรรม งานเยาวชน ฯลฯ ชีวิตของพรรคผูกพันกับสังคมตลอดเวลา มิใช่มามีชีวิตเมื่อคราวเลือกตั้งเท่านั้น

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองตั้งมาเพื่อหวังลงสนามเลือกตั้ง เฉพาะกิจ เฉพาะกาล และสนใจดำเนินกิจกรรมแต่เรื่องเลือกตั้ง

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองมิใช่เป็นพรรคจังหวัด พรรคท้องถิ่น หรือพรรคระดับประเทศเท่านั้น แต่เป็นพรรคระดับนานาชาติหรือระดับสากลด้วย พรรคการเมืองติดต่อสื่อสารกับพรรคการเมืองอื่นจากต่างประเทศหรือองค์กรเอกชนจากต่างประเทศที่มีแนวทางใกล้กัน รณรงค์ในเรื่องสากลควบคู่กับเรื่องในประเทศ

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองแสดงบทบาทอยู่แค่ระดับจังหวัดหรือทัองถิ่น ไม่สนใจดำเนินกิจกรรมในเรื่องสากลหรือรู้จักติดต่อกับพรรคจากประเทศอื่น

การเมืองแบบใหม่: การเมืองที่พรรคการเมืองเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคทุกคนเข้ามามีบทบาท มีโอกาสไต่เต้าขึ้นมารับตำแหน่งและมีบทบาทสำคัญตามความรู้ความสามารถ

การเมืองแบบเก่า: การเมืองที่พรรคการเมืองไม่เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนได้ไต่เต้าเข้ามามีบทบาทตามความสามารถ แต่ผูกขาดไว้กับสมาชิกไม่กี่คน

การเมืองไทยเดินทางมาถึงห้วงเวลาแห่งการชี้ขาดระหว่างการเมืองแบบใหม่กับการเมืองแบบเก่า การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงคือโอกาสอันสำคัญที่ประชาชนจะได้ชี้ขาดว่าต้องการการเมืองแบบใหม่หรือแบบเก่า เราจำเป็นต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดว่าอะไรคือการเมืองแบบเก่า? อะไรคือการเมืองแบบใหม่? พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ใช้วิธีดูดหรือบีบบังคับอดีต ส.ส. มาเป็นแผงหรือเป็นมุ้งเพียงเพื่อหวังจะให้เป็นฐานในการเดินไปสู่การเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคแบบนี้ไม่มีทางที่จะทำการเมืองแบบใหม่ได้ มันเป็นได้เพียงพรรคชื่อใหม่หรือพรรคเกิดใหม่ที่เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ห่อหุ้มการเมืองแบบเก่าเท่านั้น ถึงเวลาที่ประชาชนจะเป็นผู้กำหนดชี้ชะตาว่าต้องการการเมืองแบบใหม่หรือการเมืองแบบเก่า? นี่คือโอกาสในการ Disrupt แวดวงการเมืองเสียใหม่ ยิ่งทำการเมืองแบบเก่าเท่าไรก็ยิ่งช่วยขีดเส้นแบ่งใหม่และเก่าออกจากกันให้ชัดขึ้นเท่านั้น

bottom of page